วันอาทิตย์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2557

การเลือกอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้




“โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์เยื่อบุผนังลำไส้เปลี่ยนแปลง และเจริญเติบโตผิดปกติจนไม่สามารถควบคุมได้ ผู้สูงอายุและผู้มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งจะมีอัตราเสี่ยง มากกว่าคนปกติหรือผู้ที่มีภาวะโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง และผู้ที่รับประทานอาหารที่มีเส้นใยน้อย ก็จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากขึ้น อาการโดยส่วนใหญ่ของมะเร็งลำไส้จะมีท้องผูกสลับท้องเสีย ถ่ายอุจจาระมีเลือดสด อุจจาระมีขนาดเล็กลง มีอาการจุกเสียดแน่นบ่อยครั้ง อ่อนเพลียและน้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ เนื่องจากลำไส้เป็นอวัยวะสำคัญในระบบทางเดินอาหาร ดังนั้นต้องดูแลเรื่องอาหารเป็นพิเศษ การรักษาที่ถูกต้องร่วมกับโภชนบำบัดที่ถูกหลัก สามารถลดการแพร่กระจายและอาการทรมานจากมะเร็งได้นะคะ”

 ข้าว แป้ง  ควรเลือกชนิดที่เป็นพวกคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนเป็นหลัก พวกที่มีใยอาหารอาทิ ข้าวกล้อง ธัญพืช เนื่องจากกลุ่มใยอาหารจะทำหน้าที่ในการดูดซับสารก่อมะเร็งและน้ำดี แล้วขับออกจากร่างกาย ดังนั้นการได้รับใยอาหารที่พอเหมาะ จะช่วยลดโอกาสการรับสารก่อมะเร็ง ของร่างกายได้ ควรรับประทานประมาณ 6-8 ทัพพีต่อวัน สำหรับผู้ที่ผ่าตัดกระเพาะอาหารและลำไส้แล้ว มีอาการแน่นไม่สบายท้อง ไม่ควรรับประทานครั้งละมากๆ ควรจะค่อยๆ รับประทานทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง

 เนื้อสัตว์   ผู้ป่วยควรได้รับโปรตีนวันละ 1.5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ไข่และเนื้อสัตว์ต่างๆเป็นแหล่งของโปรตีนที่ให้กรดอะมิโนครบถ้วน หากผู้ป่วยไม่รับประทานเนื้อสัตว์เลยควรรับประทานถั่วเหลืองผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองแทน แต่หากยังรับประทานเนื้อสัตว์อยู่ ควรเลือกชนิดที่ไม่ติดมันเป็นหลัก หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์แปรรูป เช่น ไส้กรอก กุนเชียง แหนม เพราะอาหารแปรรูปมักใส่สารไนไตรท์ ซึ่งมีไขมันมาก ทำให้กระตุ้นการเกิดมะเร็งมากขึ้น

               มีงานวิจัยการเสริมโฟเลทสามารถช่วยลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ ซึ่งสารอาหารนี้พบมากในนม ดังนั้นการดื่มนมช่วยเสริมสร้างสารโฟเลทแต่ควรเลือกชนิดพร่องมันเนย

 น้ำมัน และ ไขมัน  โดยทั่วไปแล้วอาหารประเภทไขมันควรระวังไม่รับประทานมากแม้ในคนปกติ สำหรับผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ยิ่งจำเป็นต้องดูแลเรื่องของไขมัน ควรเลือกใช้ไขมันที่เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว เนื้อปลาทะเลจะมีไขมันไม่อิ่มตัว
               ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องรับประทานวิตามินเสริม เพราะหากรับประทานน้ำมันสกัดยิ่งทำให้ร่างกายได้รับน้ำมันเกินความจำเป็น อาจเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
               งดไขมันที่เกิดจากการปิ้งย่างหรือการทอดน้ำมันซ้ำ ซึ่งล้วนแต่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งได้ และเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะสัมผัสกับลำไส้โดยตรงเสี่ยงต่อการทำให้โรคเป็นมากขึ้น

 ผัก และ ผลไม้   ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการของโรคมากในระยะนี้ ควรลดปริมาณที่รับประทาน เนื่องจากระบบย่อยอาหารของผู้ป่วยเริ่มแปรปรวน การได้รับใยอาหารมากอาจส่งผลให้เกิดอาการแน่นท้องและท้องอืดได้ อาจรับประทานที่ละน้อย ผักบางชนิดยิ่งทำให้ท้องอืด โดยเฉพาะผักที่มีกลิ่นฉุนเพราะมีสารพวกกำมะถันอยู่มาก เช่น ต้นหอม หัวหอมใหญ่ ดังนั้น หากมีอาการท้องอืดอยู่แล้วควรหลีกเลี่ยง
               นอกจากนี้ ยังมีรายงานการวิจัยหลายงานวิจัยที่พบอาหารมีผลดีต่อการป้องกันและต่อต้านมะเร็งลำไส้ โดยเฉพาะพืชตระกูลกะหล่ำ เพราะมีสาร Isothiocyanate ซึ่งให้ผลดีในการควบคุมมะเร็ง การรับประทานควรล้างให้สะอาด เพราะแม้ผักชนิดนี้จะมีสารพฤษเคมีที่เป็นประโยชน์มากก็จริง แต่ก็เป็นแหล่งตกค้างของสารฆ่าแมลงมากเช่นกัน วิธีการล้างผักที่ได้ผลค่อนข้างดีอาจในน้ำส้มสายชู หรือการลวกผักก็จะเป็นการช่วยลดสารเคมีตกค้างลงไปมาก

               กรณีผู้ป่วยผ่าตัดลำไส้ออกบางส่วน ทำให้ระบบย่อยอาหารได้รับความเสียหายบ้างในช่วงแรก ควรรับประทานอาหารเหลวที่มีพลังงานสูง เพื่อให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ง่ายขึ้น ไม่ควรรับประทานผักและผลไม้มากเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดลมในช่องท้องได้

               ผลไม้สามารถรับประทานได้ทุกชนิด ยกเว้นกรณีเพิ่งได้รับการผ่าตัดควรเลือกชนิดที่ย่อยง่าย เช่น มะละกอสุก กล้วยน้ำว้า เป็นต้น และเพิ่มการดื่มน้ำให้มากขึ้นเพื่อป้องกันการอุดตันของลำไส้จากเส้นใยอาหาร




                                                                                                                            
"อาหารก่อมะเร็งคือ อาหารทั่วไปในชีวิตประจำวันของคุณ ถ้าทานอาหารผิดก็สามารถกระตุ้นเซลล์มะเร็งได้ มีอาหารมากมายที่เป็นอาหารก่อมะเร็ง บาทีเราอาจมองข้ามมัน เพราะบางอย่างเราก็รู้อยู่แล้วว่ามันมีประโยชน์ แต่อาหารที่มีประโยชน์อาจเป็นอาหารก่อมะเร็งได้ทันทีเมื่อทานอย่างไม่ถูกต้อง ฉะนั้นเรามาดูกันเลยดีกว่าว่าอาหารก่อมะเร็งมีอะไรบ้าง"



 อาหารที่มีการปนเปื้อนของเชื้อรา  โดยเฉพาะเชื้อราที่ชื่อ “แอสเปอจิลลัส เฟวัส” พบว่ามีอันตรายสูง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ เชื้อราชนิดนี้จะสร้างสารพิษอะฟล่าท็อกซินซึ่งทนทานต่อความร้อนสูงได้มากถึง 260องศาเซลเซียส ดังนั้นความร้อนในอุณหภูมิที่เราใช้หุงต้มคือจุดเดือด 100 องศาเซลเซียสจึงไม่สามารถทำลายสารพิษชนิดนี้ได้ สารพิษอะฟล่าท็อกซินพบได้ในถั่วลิสง พริกแห้ง หอม กระเทียม เป็นต้น

 พริกไทยดำ  ช่วยลดความอ้วน เพราะพริกไทยดำสามารถไปดักจับไขมันที่เราทานได้ แต่ที่จริงแล้วมันเป็นอาหารก่อมะเร็ง เนื่องจากในพริกไทยดำมีสารอัลคาลอยด์ ไพเพอร์ริน เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะทำปฏิกิริยากับกลุ่มไนโตรเจน กลายเป็นสารก่อมะเร็ง มะเร็งที่อาจพบได้คือ มะเร็งตับ มะเร็งปอด และมะเร็งผิวหนัง

 เฟรนช์ฟราย  ทานเพลินจนไม่รู้โทษของมันเลยว่าเป็นอาหารก่อมะเร็งตัวฉกาจ เพราะเมื่อทอดเฟรนช์ฟรายในอูณหภูมิที่สูง 180 องศาเซลเซียส เฟรนช์ฟรายจะเกิดสารอะครีลาไมด์ ซึ่งเป็นสาเหตุของมะเร็ง มะเร็งทีอาจพบ คือ มะเร็งรังไข่ มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านม ซึ่งอาหารทุกชนิดที่มีกระบวนการทอดด้วยอุณหภูมิที่สูง มีโอกาสที่จะทำให้เกิดโรคมะเร็งได้เช่นเดียวกัน

 นมวัว  เป็นอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ใครจะคิดว่าเป็นอาหารก่อมะเร็ง แน่นอนว่าถ้าทานอย่างถูกต้องมันย่อมเป็นผลดี แต่ถ้ามีการทานเนื้อสัตว์และไขมันสัตว์สูงด้วยมันก็จะกลายเป็นอาหารก่อ มะเร็ง และอาจเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เช่น มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมากได้อีกด้วย

 ซอสปรุงรส  เป็นตัวช่วยที่ทำให้อาหารมีรสชาดอร่อยขึ้น เลยมองข้ามความอันตรายของมัน แท้จริงแล้วมันก็เป็นอาหารก่อมะเร็งเช่นกัน เพราะมันมีสาร 3-MCPD และ 1,3-DCP อาจสร้างความละคายเคืองลำคอ กระเพาะอาหาร และอาจเป็นอาหารก่อมะเร็งได้ที่ไต ทำให้เป็นมะเร็งที่ไต และทำให้ตัวอสุจิเคลื่อนไหวช้ากว่าปกติ มีผลต่อภาวะเจริญพันธุ์อีกด้วย

 ขนมกรุบกรอบ  ขนมประเภทนี้ก็เป็นอาหารอีกประเภทหนึ่งที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งต่อเราได้ เพราะขนมประเภทนี้นอกจากจะใช้ความร้อนในการทอดเหมือนกับพวกเฟรนช์ฟรายแล้ว ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้อีกด้วยไม่ว่าจะเป็น การใช้น้ำมันในการทอดที่อาจจะไม่ได้มีการเปลี่ยนน้ำมันทอด โดยใช้วนซ้ำๆ ทำให้เกิดสารก่อมะเร็งในน้ำมัน และจับตัวที่อาหารที่ใช้น้ำมันนั้นทอดก็เป็นได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น